เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ พ.ย. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ฟังธรรมะก่อน เห็นไหม แผ่นดินธรรมและแผ่นดินทอง แผ่นดินธรรมแล้วมันจะเป็นธรรม.. ฟังธรรมเพื่อความเสมอภาค เวลาเราไปตลาดตอนเช้า ผักสดเราดูแล้วมันเป็นผลประโยชน์ใช่ไหม เวลามันเหี่ยวมันเฉาล่ะ แล้วเวลาผักมันเน่าล่ะ

ชีวิตเราก็เหมือนกันนะ ชีวิตของเรานี่ยามเช้า ยามบ่าย ยามค่ำ เริ่มต้นของชีวิตนี่ยามเช้าแล้วเราสดชื่นแจ่มใส ผักสด ชีวิตสดชื่นคือชีวิตของวัยรุ่น ชีวิตของผู้ที่เกิดใหม่เหมือนผักสดเลย ถ้าผักสดแล้วเราจะเก็บถนอมรักษามันอย่างไร นี่เราถนอมรักษาอาหารนะ แต่ชีวิตของเราๆ จะมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ถึงชีวิตของเราตลอดไปไหม

ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะออกประพฤติปฏิบัติธรรม ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ในคติธรรมของเรานะ เวลาเราไปวัด ไปงานศพเขาจะเวียนรอบเมรุ ๓ รอบ นั่นล่ะกามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่มันเป็นคติธรรมนะ มันเตือนเราตลอดเวลา คำว่าเตือนนี่ให้ระลึกรู้ตัวตลอดเวลา

ใช่! เวลาเรายังมีชีวิตอยู่เราต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย เราต้องมีหน้าที่การงานของเรา นี้งานของโลก แต่งานของธรรมถ้ามีสติสัมปชัญญะ ถ้าคนเราระลึกอยู่ มรณานุสติ เห็นไหม เวลาอนุสติ ๑๐ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เทวตานุสติ มรณัสสติ คิดถึงความตาย ถ้าคิดถึงความตายจิตใจมันจะไม่เห่อเหิมจนเกินไป ถ้าคิดถึงความตาย.. ความตายนะ ถ้าเป็นความตายกิเลสมันจะไม่แซงหน้าออกไป

นี่ไง ผักสด ถ้าผักสดเรารู้จักถนอมรักษามัน ผักสดจะเป็นประโยชน์กับร่างกาย เป็นประโยชน์กับเรานะ แล้วของสด ดูสิ ถ้าของสดมันมีคุณภาพของมัน ถ้าเป็นผักสดที่มีคุณภาพแล้วมันเป็นบอระเพ็ดมันมีรสขม มันมีรสหวาน แตกต่างกันไป

ชีวิตของเรามันมีรสชาติต่างๆ กันไปนะ ชีวิตของเราๆ ต้องเผชิญกับรสชาติของการกระทบของความเป็นไปของชีวิตนี้ ถ้าชีวิตนี้เราจะประคองชีวิตนี้ไปอย่างไร ถ้าเราประคองชีวิตนี้ไป เห็นไหม เรามีสติของเรา คนเราเกิดมามันมีบุญกุศล มีบาปอกุศลมาทุกๆ คนแหละ เหรียญมี ๒ ด้าน คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ ถ้าเราจะบอกว่าเราจะให้คนเขาชอบเรารักเราตลอดไปทั้งโลกนี้ มันต้องสร้างโลกอยู่เองไง

ดูสิ เขาเป็นมหาอำนาจ เขาอยากจะเป็นจักรพรรดิกัน เขาก็ต้องการตรงนี้ไง ต้องการให้คนรัก ต้องการให้คนถนอมรักษา ต้องการให้คนเชื่อฟัง แล้วเขาจะเชื่อฟังจริงไหม เขาเชื่อฟังด้วยอำนาจ เขาเชื่อฟังเพราะเขากลัวกฎหมาย เขากลัวอำนาจของเราไง เขาไม่เชื่อด้วยคุณธรรม ถ้าเขาเชื่อด้วยคุณธรรมของเรา เรารักษาเรา หลวงตาท่านสอนประจำนะ

“ถ้าเราพยายามค้นคว้าหาความบกพร่องของเรา ถ้าเรายังมีความบกพร่องของเรา เราจะจับความบกพร่องของเรา คนนอกเขาเห็นตรงนั้นล่ะ”

ทุกคนจะเห็นความบกพร่องของเรา แม้แต่ถ้าเราเห็นความบกพร่องของเรา เห็นไหม แล้วเราพยายามเติมเต็มตรงนี้ พยายามแก้ไขตรงนี้ นี่ชีวิตนี้โดยคุณธรรม ชีวิตเราๆ พยายามหาความบกพร่องของเรา ใช่! ทุกคนมันมีความบกพร่องทั้งนั้นล่ะ ทุกคนจะไม่มีสมบูรณ์แบบไปทั้งหมด แต่ถ้าเราหาความบกพร่องของเรา แล้วเราแก้ไขของเรา แก้ไขด้วยความรู้สึกนะ

ดูสิ รูปร่างร่างกายของเราบกพร่องแล้วเราจะแก้ไขได้ไหม อันนี้มันเป็นผลไง ผลคือวิบาก ผลเกิดจากการกระทำ เกิดจากกรรม แต่หัวใจมันแก้ไขได้ หัวใจเรามันจะมืดบอดขนาดไหน มันจะสว่างไสวขนาดไหน มันจะสะอาดขนาดไหน มันยังมีความดีมากไปกว่านี้ที่เราจะแก้ไขดัดแปลงหัวใจของเรา

การแก้ไขดัดแปลงหัวใจ เห็นไหม ดูสิ เวลาใช้ปัญญาหรือใช้สมอง เวลาลัทธิคอมมิวนิสต์ กรรมกรใช้แรงงานนี่ผลตอบแทนอย่างหนึ่ง การใช้แรงงานโดยสมอง การใช้แรงงานโดยการบริหาร เขาว่านี่เป็นแรงงานบริหารจัดการ เป็นแรงงานอีกอย่างหนึ่ง เขายังแบ่งของเขาได้นะ แล้วนี่ความคิดของเรา ถ้าปัญญาของเราล่ะ ปัญญามันเกิดขึ้นมาจากการมีสติสัมปชัญญะ มรณานุสติจะเป็นพื้นฐาน

มรณานุสติ เห็นไหม เราเกิดมาทำไม เกิดมาแล้วปัจจุบันนี้เราทำอะไร ตายแล้วจะไปไหน มรณานุสติถ้ายับยั้งตรงนี้ได้นะ ความคิดมันคิดเลย เราทำหน้าที่การงานโดยปัจจุบัน โดยข้อเท็จจริง แต่ถ้ามันเห่อเหิมนี่มันไม่ได้ทำโดยข้อเท็จจริง มันทำโดยการคาดการหมายของตัณหาความทะยานอยากไม่มีที่สิ้นสุด

การทำหน้าที่การงานไม่ใช่กิเลส ทุกคนเกิดมามันต้องมีหน้าที่การงานทั้งนั้นแหละ งานการกระทำ เห็นไหม ดูสิ แม้แต่กินอาหารก็เป็นงานอันหนึ่ง นอนก็เป็นงานอันหนึ่ง การบริหารจัดการร่างกายก็เป็นงานอันหนึ่ง การดำรงชีวิตก็เป็นงานอันหนึ่ง เป็นงานทั้งนั้นแหละ แล้วงานของใจล่ะ

งานของใจนี่ธรรมะ ธรรมะที่ว่าเป็นปัญญาอันละเอียด ปัญญาอันละเอียดนี่ มันระลึกรู้ตัวอยู่นะ มันไม่เห่อเหิม มันทำให้จิตใจเรามีสติสัมปชัญญะ ถ้ามีสติสัมปชัญญะการกระทำมันจะไม่ผิดพลาด ความคิดมาจากไหน? ความคิดมาจากจิต มันออกมาจากจิต พอพลังงานออกจากจิตมันทิ้งจิตมาแล้ว มันเป็นอาการของจิต มันออกมาแล้วมันออกไปยึดสิ่งที่เป็นภายนอก

เวลาเรามีสติสัมปชัญญะมันจะย้อนกลับไปสู่จิตของเราไง ย้อนกลับไปสู่ต้นพลังงานนั้น ถ้าย้อนกลับไปสู่ต้นพลังงานนั้นก็ย้อนกลับไปสู่จิตนั้น ถ้าย้อนสู่จิตนั้น เห็นไหม นี่ความสุขอันนี้ ความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ความสุขของเรา ดูสิ ธุรกิจบริการ เราไปพักผ่อนต่างๆ เรามีความสุขมีความพอใจ มันความสุขโดยอามิส ความสุขโดยมีการเสพ แต่หัวใจที่มันอิ่มในตัวมันเอง ความสุขที่เกิดขึ้นมาจากจิตที่มันทรงตัวของมันได้ แต่ตอนนี้จิตมันทรงตัวของมันไม่ได้

ครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำนะว่า “จิตของเราเรียกร้องความช่วยเหลือ เรียกร้องความช่วยเหลือ” เวลาเราเศร้าหมอง เวลาเราขัดข้องหมองใจมันเรียกร้องความช่วยเหลือ เพราะเราช่วยเหลือตัวเองไม่เป็น แต่ถ้าคนเขาช่วยเหลือตัวเองเป็นนะ เวลามันมีอะไรขัดข้องหมองใจ เห็นไหม อันนี้มันเป็นอะไร สิ่งนี้มันเป็นอะไร เราเปิดมันออกได้หมดเลย การเปิดออกนี้สติมันมีของมัน มันเปิดออกได้

สิ่งนี้เป็นความหมักหมมของใจ ความตระหนี่ถี่เหนียว กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เปิดมันออกไป ถ้าไม่เปิดมันออกไปมันเหลือสิ่งใด เหลือแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าเหลือความสะอาดบริสุทธิ์นี่มันช่วยเหลือตัวมันเองได้ มันบริหารจัดการความคิดได้ มันทำให้จิตมันตั้งมั่นได้ พอตั้งมั่นได้ถ้าปัญญามันจะเกิด เห็นไหม ปัญญาจะเกิดจากความเป็นสัจธรรม แต่ปัญญาที่มันเกิดนี้มันเกิดโดยสัญญาอารมณ์

สัญญาอารมณ์มันต้องมีจิต มีจิตคืออวิชชา มีพลังงานอันสกปรกนี้แล้วขับออกมา มันเลยเป็นตัณหาความทะยานอยาก ความคิดนี้เป็นโลกียปัญญา ความคิดแบบโลกๆ ไง ถ้าความคิดแบบธรรมมันไม่มีตัณหาความทะยานอยาก จิตมันเป็นสากล จิตมันเป็นพลังงานที่สติสัมปชัญญะควบคุมมันอยู่ ไม่มีความเศร้าหมองผ่องใสในหัวใจนั้น มันเป็นสัจธรรมอันนั้น เวลามันออกไปมันเป็นสัจจะข้อเท็จจริง

ฐานมันเป็นข้อเท็จจริง กรรมฐานนี่ฐานมันเป็นข้อเท็จจริง เวลาปัญญาออกไปมันก็จะออกไปตามข้อเท็จจริงนั้น มันเป็นสันทิฏฐิโก เป็นปัจจัตตัง เพราะอะไร เพราะจิตมันสัมผัส จิตมันเห็น จิตมันรู้ แต่ในปัจจุบันนี้เรารู้ด้วยความคิด รู้ด้วยสัญญาอารมณ์ มันไม่ได้รู้จากจิต

จิตอันหนึ่งนะ จิตคือพลังงาน แต่ในปัจจุบันนี้เรามีแต่ความคิดไง ความคิดของเรามันเกิดจากพลังงานแต่ไม่ใช่พลังงาน ความคิดไม่ใช่พลังงานแต่เกิดจากพลังงาน ไม่มีพลังงานก็ไม่มีความคิด ถ้าไม่มีตัวจิตความคิดก็เกิดไม่ได้

แต่ตัวจิตนี้มันสกปรก มันเป็นอวิชชา ความคิดนั้นมันเป็นความคิดสกปรก ความคิดแบบโลกียปัญญา แต่พอเวลาทำความสงบของใจ จิตมันสะอาด จิตมันเป็นสัจธรรม มันไม่ใช่ตัณหาความทะยานอยาก ไม่มีตัวขับ ไม่มีอดีต-อนาคตที่ไปเร่งมัน ความไม่ไปเร่งมันพอออกมามันเป็นสัจธรรม เห็นไหม

นี่ไงพอจิตมันสงบขึ้นมา นี่ผักสด ผักสดมันเหี่ยว มันเฉา มันเน่าได้ แต่ใจของคนมันเน่าไม่ได้ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมในวัฏฏะนี่มันหมดวาระแล้วมันก็จรมันไป จิตนี้เหมือนนักท่องเที่ยว เที่ยวไปในวัฏสงสาร จิตนี้เป็นนักท่องเที่ยว เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติมาตลอดเวลา ไม่เคยเน่า ไม่เคยเสีย ไม่เคยบุบสลาย แต่เวลามันทำความสะอาดของมันขึ้นมา พอถึงที่สุดแห่งทุกข์มันก็จิตอันนี้ที่มันไม่เน่าไม่เสีย

นี่ชีวิตก็เหมือนกัน ชีวิตนี้เหมือนผักสด เหมือนผัก เหมือนปลา เหมือนวัตถุอันหนึ่ง ที่มันต้องย่อยสลายไปเป็นธรรมดา แต่ตัวจิตมันไม่เคยย่อยสลาย เห็นไหม นี่ว่านิพพานๆ พอถึงที่สุดแห่งทุกข์มันมีของมันไง นิพพานมีอยู่แต่มีของมันนะ แต่เราคาดหมายไม่ได้หรอก คาดหมายไม่ถึง มันพ้นจากการคาดหมายทั้งหมด พ้นจากการจินตนาการ พ้นจากทุกๆ อย่าง เพราะมีการคาดหมาย พอเราคาดหมายจินตนาการมันมีที่ตั้งใช่ไหม มันเป็นรูปธรรม แล้วพยายามอธิบายสิ่งที่เราคาดหมายนั้น นั่นเป็นเป้าหมายแล้วอธิบาย นิพพานเลยผิดหมดไง

ถ้านิพพานเป็นความจริง นิพพานเอาออกมาเปิดเผยกันไม่ได้ แต่ผู้รู้กับผู้รู้เขาสื่อสัมพันธ์กันได้ เขาจับต้องได้ เขาตรวจสอบได้! ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง สภาวธรรมนี่ เวลาสื่อสารธรรมมันเป็นมงคลกับชีวิต เพราะชีวิตมันจะย้อนกลับไปถึงตัวของสัจธรรม

ศาสนาพุทธมีความสำคัญตรงนี้มาก สำคัญที่ว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อ ให้ทำตนเองให้เป็นที่พึ่งได้ แล้วพอทำตนเองให้เป็นที่พึ่งได้นะ มันก็ชั่วชีวิตหนึ่งเห็นไหม

ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะก็นิพพานไปแล้ว สิ่งต่างๆ นิพพานก็ชั่วชีวิตนั้น นิพพานไปแล้วนี่สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่มีชีวิตอยู่ ที่สื่อสารสัมพันธ์กับเรา ที่พยายามแก้ไขเรา ที่พยายามชี้นำเรา ท่านสิ้นไปแล้วนะ เราเองสื่อสารไม่ได้ เราสื่อสารกับท่านไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นสื่อสารไม่ได้นี่สิ่งนั้นมีอยู่ไหมล่ะ มันมีของมันโดยธรรมชาติของมันนะ

เราฟังธรรม เราต้องเตือนตัวเราเอง เห็นไหม เราอาบเหงื่อต่างน้ำมา หาเงินหาทองมา เก็บสะสมไว้ใช้สอยในชีวิตประจำวัน ใช้ในครอบครัวของเรา เหลือหรือมีสิ่งที่เราพอเสียสละมาเพื่อบุญกุศล ให้หัวใจมันได้พัก ให้หัวใจมันมีที่พึ่งอาศัย สิ่งที่เสียสละออกไป เราใช้สอยไปนี่เราใช้สอยโดยธรรมชาติของเรานะ มันใช้สอยไปก็หมดไปโดยการกระทำของเรา เราเสียสละออกไปเราไม่ได้ใช้สอย แต่เป็นประโยชน์กับคนอื่น เป็นประโยชน์ที่เราเสียสละออกไป

สิ่งนี้มันเป็นบารมีธรรม บารมีของใจ ใจมันจะเข้มแข็ง มีความสุข มีความพอใจของมัน เราใช้สอยของเราเอง มันใช้สอยเพราะเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดไป แต่เราเสียสละเพื่อบารมีธรรมของเราขึ้นมา แล้วเวลาเราเสียสละ เห็นไหม เสียสละความสะดวกสบายของเราเพื่อจะเอาตัวเราไว้ในอำนาจของเรา แล้วเวลาความคิดขึ้นมาที่เป็นความคิดต่างๆ เราเสียสละมันออกไป เสียสละมันออกไป ถึงที่สุดมันสะอาดผ่องใสของมันขึ้นมาได้ เห็นไหม

นี่ชีวิตมีคุณค่าตรงนี้ เราต้องขวนขวายเพื่อการกระทำของเรา ถ้าเราไม่ทำดี เราไม่ฝืนมัน มันจะไปตามอำนาจของมัน มันจะดึงเราไปกับมัน เราฝืนมัน ทำมัน ฝืนมัน ฝืนความต้องการ ฝืนความทะยานอยากของเรา ฝืนไว้ที่ไหนล่ะ ฝืนเข้าไปสู่หาข้อเท็จจริงในใจ ฝืนทวนกระแสเข้าไปสู่ภวาสวะ ตัวภพ ตัวข้อมูล ตัวสิ่งที่สะสม เป็นวิบากที่มันสะสมลงที่นี่

พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ตัวนี้มันซับไว้หมดแหละ นี่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของเขาๆ ซับข้อมูลไว้ทั้งหมดนะ แต่โปรแกรมของจิตที่มันอยู่กับมัน ถ้าเราเข้าไปชำระ เราไปเห็นของมัน แล้วโปรแกรมที่ดีโปรแกรมที่มีคุณประโยชน์ เห็นไหม มันจะเป็นปัญญาญาณ ถ้าโปรแกรมที่เป็นอกุศล มันบีบคั้นเราเอง มันทำให้เราทุกข์เราเอง นี่เราแก้ไขของเรา เราทำของเรา

นี่พุทธศาสนาสอนที่นี่! พุทธะ “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคต” ธาตุรู้ ความรู้สึกนี่คือพุทธะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่กลางหัวอกของเราทั้งนั้นแหละ ถ้าเราบริหารที่นี่ เราได้เฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยความเป็นจริง เราจะเห็นพุทธะ แล้วพุทธะเป็นใครล่ะ พุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงที่จิตของเรา แล้วเราเป็นของเราเอง มีความสุขของเราเอง นี่คือประโยชน์ที่นี่นะ ประโยชน์สูงสุดคือการกระทำของเรา เอวัง